วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การแสดงนาฏศิลป์ไทยพื้นเมือง

การแสดงภาคเหนือ
                      เป็นศิลปะการรำ  และการละเล่น  หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า  “ฟ้อน”  การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา  และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ  เช่น  ชาวไต  ชาวลื้อ  ชาวยอง  ชาวเขิน  เป็นต้น  ลักษณะของการฟ้อน  แบ่งเป็น  2  แบบ  คือ  แบบดั้งเดิม  และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่  แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า  อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ 
วงกลองแอว เป็นต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณีหรือต้นรับแขกบ้านแขกเมือง
ได้แก่
    - ฟ้อนเทียน                                          - ฟ้อนกิงกะหร่า (กินนร)
     - ฟ้อนเงี้ยว                                          - ฟ้อนทีหรือระบำร่ม
     - ฟ้อนเล็บ                                           - ฟ้อนวี (พัด)
     - กลองสะบัดชัย                                  - ฟ้อนสาวไหม
     - ตบมะผาบ                                         - ฟ้อนชมเดือน
     - ฟ้อนเจิงหรือมองเซิง                        - ฟ้อนผีมดผีเม็ง
     - ฟ้อนดาบ                                          - ฟ้อนผีฟ้า
     - ฟ้อนมาลัย                                        - ฟ้อนแพน
     - ฟ้อนม่านมงคล                                 -  ระบำซอ
     - ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา                         - ระบำเก็บใบชาหรือระบำชาวเขา
     - ฟ้อนขันโตกหรือขันตอก
เป็นต้น
ฟ้อนเทียน


                 ฟ้อนเทียน เป็นการฟ้อนที่มีลักษณะศิลปะที่อ่อนช้อยงดงาม   ลักษณะการแสดงไม่ต่างจากการแสดงฟ้อนเล็บ  ถ้าเป็นการแสดงฟ้อนเทียน  นิยมแสดงในเวลากลางคืนเพื่อเน้นความสวยงามของแสงเทียนระยิบระยับสว่างไสว จุดเด่นของการแสดงชนิดนี้ จึงอยู่ที่แสงเทียนที่ผู้แสดงถือในมือข้างละ ๑ เล่ม   เข้าใจว่าการฟ้อนเทียนนี้แต่เดิมคงจะใช้เป็นการแสดงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์     เพื่อเป็นการสักการะเทพเจ้าที่เคารพนับถือในงานพระราชพิธีหลวง ตามแบบฉบับล้านนาของทางภาคเหนือของไทย   ผู้ฟ้อนมักใช้เจ้านายเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในทั้งสิ้น ในสมัยปัจจุบันการแสดงชุดนี้จึงไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจะสังเกตเห็นว่าความสวยงามของการฟ้อนอยู่ที่การบิดข้อมือที่ถือเทียนอยู่  แสงวับๆ แวมๆ จากแสงเทียนจึงเคลื่อนไหวไปกับความอ่อนช้อยลีลา และลักษณะของเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบนับเป็นศิลปะที่น่าดูอย่างยิ่งแบบหนึ่ง                 
                การแต่งกาย            ใช้ผู้แสดงเป็นผู้หญิงล้วน นิยมแสดงหมู่คราวละหลายคน โดยจำนวนคนเป็นเลขคู่ เช่น ๘ หรือ ๑๐ คน    แล้วแต่ความยิ่งใหญ่ของงานนั้น   และความจำกัดของสถานที่  โดยผู้แสดงแต่งกายแบบฟ้อนเล็บ คือ การสวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งซิ่นมีเชิงกรอมเท้า มุ่นผมมวย มีอุบะห้อยข้างศีรษะ ในมือเป็นสัญลักษณ์  คือ  ถือเทียน ๑ เล่ม   การแต่งกายของฟ้อนเทียนนี้  ปัจจุบันแต่งได้อีกหลายแบบ  คืออาจสวมเสื้อในรัดอก ใส่เสื้อลูกไม้ทับแต่อย่างอื่นคงเดิม  และอีกแบบคือสวมเสื้อรัดอก  แต่มีผ้าสไบเป็นผ้าทอลายพาดไหล่อย่างสวยงาม  แต่ยังคงนุ่งซิ่นกรอมเท้าและมุ่นผมมวย  มีอุบะห้อยศีรษะ
                โอกาสที่แสดง   ในงานพระราชพิธี   หรือวันสำคัญทางศาสนา  ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองชาวต่างชาติ   และในงานประเพณีสำคัญตามแบบฉบับของชาวล้านนา   
(ที่มา : http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
ฟ้อนเงี้ยว

                 ฟ้อนเงี้ยว  เป็นการฟ้อนที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟ้อนของเงี้ยวหรือไทยใหญ่  ประกอบด้วย  ช่างฟ้อนหญิงชายหลายคู่  แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองไทยใหญ่  การฟ้อนเงี้ยวเหมาะสำหรับผู้ชาย แต่ต่อมาเพื่อให้เกิดความสวยงาม   จึงมีการใช้ผู้หญิงล้วน   หรือใช้ทั้งชายและหญิงแสดงเป็นคู่ๆ  มีลีลาการฟ้อนที่แปลกแตกต่างไปจากฟ้อนเล็บ  ฟ้อนเทียน 
                การแต่งกาย  จะเลียนแบบการแต่งกายของชาวไทยใหญ่ โดยมีการดัดแปลงเครื่องแต่งกายออกไปบ้าง   โดยใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอก  นุ่งโสร่งสั้นเพียงเข่า  หรือกางเกงขากว้างๆ   หรือบ้างก็นุ่งโสร่งเป็นแบบโจงกระเบนก็มี ใช้ผ้าโพกศีรษะ มีผ้าคาดเอว ใส่เครื่องประดับ เช่น กำไลมือ กำไลเท้า  สร้อยคอ และใส่ตุ้มหู
                โอกาสที่ใช้แสดง      แสดงในงานรื่นเริงทั่วไป
(ที่มา : http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
ฟ้อนเล็บ

             ฟ้อนเล็บ  เป็นศิลปะการแสดงภาคเหนือที่มีความงดงาม อ่อนช้อยลีลาการฟ้อนเล็บ จะแสดงออกถึงความพร้อมเพรียงของผู้แสดง เพราะการฟ้อนเล็บจะแสดงเป็นหมู่ การฟ้อนเล็บมักแสดงในงานมงคลต่าง ๆ

             การแต่งกายของผู้เล่นฟ้อนเล็บ ผู้ฟ้อนนุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนยาว ห่มสไบ ผมเกล้าแบบผมมวยสูง ติดดอกไม้ ห้อยอุบะ ปล่อยชายลงข้างแก้ม สวมเล็บยาวตรงนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ
(ที่มา : http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
กลองสะบัดชัย
กลองสะบัดชัย เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาอย่างหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมักจะพบเห็นในขบวนแห่ หรืองานแสดงศิลปะพื้นบ้านโดยทั่วไป ลีลาในการตีมีลักษณะโลดโผน เร้าใจ มีการใช้อวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ศอก เข่า ศีรษะ ประกอบในการตีด้วย ทาให้การแสดงการตีกลองสะบัดชัยเป็นที่ประทับใจของผู้คนที่ได้ชม จนเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
บทบาทของกลองสะบัดชัย
อาจกล่าวได้ว่า การตีกลองสะบัดชัย เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ได้นาชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรมพื้นบ้านสู่ล้านนา และบทบาทของกลองสะบัดชัยจึงอยู่ในฐานะการแสดงในงานวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น งานขันโตก งานพิธีต้อนรับแขกเมือง และขบวนแห่ ฯลฯ
แต่ในโอกาสในการใช้กลองสะบัดชัยแต่เดิมจนถึงปัจจุบันยังมีอีกหลายประการ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีต่าง ๆ มากมาย สรุปได้ดังนี้
1. ใช้ตีบอกสัญญาณ
2. เป็นมหรสพ
3.เป็นเครืองประโคมฉลองชัยชนะ
4. เป็นเครืองประโคมเพือความสนุกสนาน
ประเภทของกลองสะบัดชัย
กล่าวโดยสรุปกลองสะบัดชัยในปัจจุบันนี้มี 3 ประเภทคือ
1. กลองสองหน้าขนาดใหญ่ มีลูกตุบที่มักเรียกว่า “กลองปูชา” แขวนอยู่ในหอกลองของวัดต่าง ๆ ลักษณะการตีมีจังหวะหรือทานองที่เรียกว่า “ระบ่า” ทั้งช้าและเร็ว บางระบามีฉาบและฆ้อง บางระบามีคนตีไม้แสะประกอบอย่างเดียว
2. กลองสองหน้า มีลูกตุบและคานหามซึ่งเป็นกลองที่จาลองแบบมาจากประเภทแรก เวลาตีผู้ตีจะถือไม้แสะข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งถือไม้ตีกลอง การตีลักษณะนี้อาจมีฉาบและฆ้องประกอบหรือไม่มีก็ได้ ปัจจุบันกลองสะบัดชัยประเภทนี้เกือบสูญหายไปแล้ว ผู้ที่ตีได้และยังมีชีวิตอยู่ (2548) เท่าที่ทราบคือ ครูมานพ (พัน) ยารณะ ซึ่งเป็นศรัทธาวัดสันป่าข่อย อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
3. กลองสองหน้า มีคานหาม ไม่มีลูกตุบ มีฉาบ ฆ้อง ประกอบจังหวะ และมักมีนาคไม้แกะสลักประดับซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายปัจจุบัน
กลองสะบัดชัยทั้ง 3 ประเภท ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้มีการฟื้นฟูให้หวนกลับมาสู่ความนิยมอีก โดยประเภทแรกนอกจากจะมีการสอนให้ตีและมีบทบาทในวัด ก็ได้มีการนาเข้าสู่ขบวนซึ่งอาจมีการเคลื่อนย้ายโดยยกขึ้นค้างแล้วติดล้อเลื่อน ประเภทที่สองมีการเผยแพร่และกาลังเป็นที่นิยม สาหรับประเภทสุดท้ายก็ปรากฏแพร่หลายจนเกือบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของกลองล้านนา
(ที่มา http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
ตบมะผาบ

       กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการนำมิติทางวัฒนธรรมมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ๒ ยุทธศาสตร์ คือยุทธศาสตร์ที่ ๑ รักษาสืบทอดวัฒนธรรมและความหลากหลายของท้องถิ่น ยุทธศาสตร์ที่ ๓ นำทุนทางวัฒนธรรมของประเทศมาเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างคุณค่าทางสังคม ระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการภูมิบ้านภูมิเมือง ซึ่งประกอบด้วยภูมิหลัง ภูมิปัญญา คือการสืบค้น รวบรวม บันทึกและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตของชุมชน ภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม คือการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิทัศน์วัฒนธรรม คือ การนำเสนอผลงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม ผสมผสานกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาประเทศด้านวัฒนธรรมดังกล่าว สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปางร่วมกับสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง จึงเห็นสมควรให้ดำเนินงานบริหารจัดการข้อมูลวัฒนธรรมจังหวัดลำปางอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะมรดกทางวัฒนธรรมวิถีชีวิต (Intangible Cultural heritage ) โดยกำหนดการจัดเก็บข้อมูลด้านศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของจังหวัดลำป
าง
 ครื่องประกอบดนตรี
            ศิลปะการแสดงตบมะผาบ มีเครื่องดนตรีและการประสมวงที่เป็นเอกลักษณ์คือใช้เครื่องดนตรีในการประสมวงจำนวน ๔ ชิ้นเป็นหลักได้แก่
                   ๑.กลอง ภาษาถิ่นเรียกว่า ก๋องซิ่งม่อง
                   ๒.ฉิ่ง ภาษาถิ่นเรียกว่า ฉิ่ง
                   ๓.ฉาบ ภาษาถิ่นเรียกว่า สว่า
                   ๔.ฆ้อง ภาษาถิ่นเรียกว่า ก๊อง

การแต่งกายของนักแสดง
           การแต่งกายในสมัยโบราณ นุ่งผ้าต้อยคล้ายโจงกระเบน แต่ในปัจจุบันได้ประยุกต์การแต่งกายเป็น
การแต่งกายพื้นเมืองโดยใช้ผู้แสดงจำนวน ๖ คน เป็นการแสดงกลางแจ้งประกอบเสียงจังหวะโดยจัดแสดงในโอกาสงานรื่นเริง
              -  เสื้อพื้นเมืองคอกลมแขนยาว 
              - ผ้าคาดเอว
              - กางเกงขาก๊วย 
              - ลักษณะเครื่องแต่งกาย ของนักแสดง
              - ลักษณะการแต่งกาย
              - ภาพสาธิตการแต่งกาย
              - การแสดงตบมะผาบ
(ที่มา:http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/performing-arts/236-performance/306-----m-s)

ฟ้อนเจิงหรือมองเซิง


                     
                       การฟ้อนเจิงเป็นศิลปะร่ายรำแบบไทยล้านนาโบราณ คำว่าฟ้อนมีความหมายถึงการเต้น หรือร่ายรำ เจิงมีความหมายว่า การแสดงถึงทักษะ ความรู้ภูมิปัญญาส่วนบุคคบ หรือ ชั้นเชิง การออกกำลังกายแบบฉบับล้านนาเป็นกระบวนท่าจะไม่โลดโผน แต่เน้นการออกกำลังกายครบทุกส่วนของร่างกาย การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพ แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพจังหวะช้า การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพจังหวะเร็ว และ การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพแบบภาวนา ซึ่งทั้ง 3 แบบนี้มีคุณประโยชน์เหมือนกันอยู่ที่ความถนัดและความชอบส่วนบุคคล

                      ล้านนาในอดีต เมื่อถึงคราจะเลือกแม่ทัพนายกองแม้แต่คนรับใช้ กระทั่งการเลือกคุ่ครองจะพิจารณาจาก การฟ้อนเจิง การฟ้อนเจิงเป็นการแสดงให้เห็นถึงไหวพริบ สติปัญญา ความละเอียดอ่อน นุ่มนวล แต่แข็งแกร่ง ทั้งยังแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริง

                     ฟ้อนเจิงเป็นการแสดงความเป็นตัวตนของผู้ฟ้อนอย่างแท้จริงด้วยกลิ่นไอแห่งวัฒนธรรมล้านนา วิถีที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบสานภูมิปัญญาจากอดีตสู้ปัจจุบัน จีรัง เฮลท์ วิลเลจ ขอสืบสานองค์ความรู้อันมีค่าจากอดีต สู่วิถีชีวิตปัจจุบัน เพื่อการบำบัดฟื้นฟูภาพแบบองค์รวมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศ วิถีแห่งล้านนา ด้วยการฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพลองสัมผัสด้วยตนเอง แล้วท่านจะทราบว่ามรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ลูกหลานนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง
 
(ที่มา:http://www.jirungresort.com/th/health_spa_resort/retreat/forn_joeng.html)


ฟ้อนดาบ

อุปกรณ์และวิธีเล่น
     ๑. ดาบ ๒ เล่ม ต่อคน
     ๒. เครื่องดนตรี ได้แก่ ฆ้องโหม่ง ฉาบกลาง กลองปู่เจ่ (กลองยาวของชาวไตใหญ่)
     ๓. ชุดเครื่องแต่งกายในการฟ้อนดาบ ได้แก่ เตี่ยวสะดอ (กางเกงขาก๊วยขาสั้น) เสื้อหม้อห้อม ผ้าคาด           เอว ผ้าโพกศรีษะ
     ๔. ผู้ฟ้อน ๑ - ๒ คน และนักดนตรีอีก ๔ - ๕ คน

วิธีฟ้อน
             การฟ้อนดาบ จะเริ่มต้นด้วยการตีฆ้องนำ แล้วต่อจากนั้นจะตีฉาบและกลองให้เข้าจังหวะเร้าใจเป็นทำนองเพลงปู่เจ่ ผู้แสดงเริ่มฟ้อนดาบตามหลักเกณฑ์และท่าที่ครูประสิทธิ์ประสาทให้มา ซึ่งมี ๒ ช่วงคือ
    ช่วงที่ ๑ ไหว้ครู โดยผู้ฟ้อนจะวางดาบลงไว้ด้านหน้าให้ไขว้กัน แล้วจึงไหว้ครู
    ช่วงที่ ๒ หลังจากไหว้ครูแล้ว ก็เริ่มฟ้อนท่าต่าง ๆ ซึ่งครูคำ กาไวย์ รวบรวมมี ๓๒ ท่า เช่น ท่าบิดบัวบาน เกี้ยวเกล้า ฯลฯ โดยใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายรับดาบไว้ เช่น ปากคาบ หนีบรักแร้ ขาพับเข่า ฯลฯ
การฟ้อนจะฟ้อนไปจนจบกระบวนท่า ทั้ง ๓๒ ท่า หรือจะน้อยกว่านั้นก็ได้ ถ้าฟ้อนคู่ก็จะรำไปพร้อมกัน อาจมีหลอกล่อกันบ้าง แต่ไม่มีการฟันดาบ

โอกาสหรือเวลาที่เล่น
         ใช้แสดงเมื่อถึงคราวมีงานนักขัตฤกษ์ เช่น งานประเพณีขึ้นปีใหม่ งานสงกรานต์ งานปอย พิธีรดน้ำดำหัว ปัจจุบันมีการพัฒนาให้เป็นการออกกำลังกายสำหรับนักเรียนในการเรียน จึงมีการแสดงในตอนเช้าสำหรับบาง โรงเรียน

คุณค่าหรือเวลาที่เล่น

             การใช้ดาบเป็นอาวุธเป็นวิชาต่อสู้ป้องกันตัวของชายชาวล้านนา ซึ่งจะได้รับการฝึกฝนเพื่อใช้ต่อสู้ศัตรูยามสงครามและเมื่อมีความชำนาญ ก็อาจใช้แสดงเพื่อความรื่นเริง เมื่อมีการแสดงมากขึ้น ก็มีการประยุกต์ดัดแปลงลีลาท่าทาง และการเคลื่อนไหว ประกอบเพลงและอาวุธมากขึ้น ปัจจุบันจะเน้นเรื่องการแสดงเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะในงานแสดงต้อนรับนักท่องเที่ยว และพัฒนาเป็นการออกกำลังกายประกอบดาบ (ดาบไม้) ของนักเรียน ซึ่งนอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นการอนุกรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่นด้วย
(ที่มา:http://www.prapayneethai.com/ฟ้อนดาบ)

ฟ้อนมาลัย

 ประวัติฟ้อนมาลัย
             ฟ้อนมาลัย หรือ ลาวดวงดอกไม้ เพลงฟ้อนดวงดอกไม้ เป็นเพลงเก่าของเชียงใหม่ เจ้าดารารัศมี พระชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงนำมาใช้ในละครเรื่อง น้อยใจยา
ซึ่งกรมศิลปากรปรับปรุงขึ้นเมื่อแสดงละครพันทางเรื่อง พระยาผานอง แสดง ณ โรงละครแห่งชาติ
เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ โดย อาจารย์มนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งทำนองเพลงและบทร้อง โดยนำทำนอง
เพลงฟ้อนดวงดอกไม้ของนางข้าหลวงของแม่ท้าวคำปิน มาใช้เป็นเพลงฟ้อน
ท่านผู้หญิงหม่อม แผ้ว สนิทวงศ์เสนีย์ ประดิษฐ์ท่ารำ
ฟ้อนมาลัย เป็นการแสดงที่ใช้สำหรับโอกาสที่มีแขกสำคัญมาเยือน โดยใช้การแสดงชุดนี้ เป็นการต้อนรับ ปัจจุบันใช้แสดงในโอกาสงานมงคล หรืองานเบ็ดเตล็ดทั่วไป
    วิธีแสดง
ผู้แสดงเป็นชุดเป็นหมู่ ร่ายรำท่าเหมือนกัน แต่งกายเหมือนกัน มีการแปรแถวแปรขบวนต่าง ๆ
    ผู้แสดง
ผู้แสดงหญิงไม่ระบุจำนวนแน่นอน
    เพลงดนตรี
ฟ้อนชุดนี้ออกเป็นเพลงซุ้ม ซึ่งเป็นเพลงลาวชั้นเดียว 
    เครื่องแต่งกาย
ชุดที่ใช้เป็นลักษณะของผ้าถุงยาวกรอมเท้า ซึ่งบ่งบอกถึงความสำคัญและความเป็นทางการของงาน

(ที่มา: https://sites.google.com/site/naiyarinnoey/fxn-malay)

                                     ฟ้อนม่านมงคล


             พ.ศ. 2495  กรมศิลปากรได้ปรับปรุงละครพันทางเรื่องราชาธิราช  ตอนสมิงพระรามอาสา  นำออกแสดงให้ประชาชนชม  ตอนหนึ่งของเนื้อเรื่องกล่าวถึงพิธีอภิเษกสมิงพระรามกับพระราชธิดาพระเจ้าอังวะ  จึงพิจารณาแทรกระบำขึ้นโดยมอบให้นายมนตรี   ตราโมท  เป็นผู้แต่งบทร้องและทำนองเพลงขึ้น  และตั้งชื่อว่า ม่านมงคล
            ฟ้อนม่านมงคล เป็นการฟ้อนที่มีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม  ซึ่งสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา บางคนสงสัยว่าเป็นของพม่า  เพราะเรียกว่า ฟ้อนม่าน  แต่ฟ้อนม่านมงคลนี้น่าจะเป็นของไทย สังเกตได้จากท่ารำที่อ่อนช้อยงดงาม  มีเพียงท่ารำในตอนต้นเท่านั้นที่ดัดแปลงมาจากของพม่า  หากเป็นการฟ้อนรำของพม่า  จะมีลีลาและจังหวะในการฟ้อนรำที่รวดเร็วและเร่งเร้ากว่าของไทย  น่าจะเป็นไปได้ที่ไทยประดิษฐ์ท่ารำขึ้น  โดยอาศัยท่ารำของภาคเหนือ  และมีท่ารำของภาคกลางปนด้วย  โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องราชาธิราช  ซึ่งเป็นตำนานพงศาวดารที่มีมาดังนี้
             เนื้อเรื่องกล่าวถึงพวกมอญ  (พม่า)   แบ่งเป็น 2 พวก  คือ กรุงหงสาวดี  กับกรุงรัตนบุระอังวะ  ซึ่งทั้งสองเมืองจะรบกันอยู่เสมอ  กรุงหงสาวดีมีทหารเอก คือ สมิงพระราม  ซึ่งเก่งในทางรบ  คราวหนึ่งทางฝ่ายกรุงหงสาวดีแพ้  สมิงพระรามถูกจับเป็นเชลยขังไว้    กรุงอังวะ  เมื่อพระเจ้ากรุงจีนยกทัพมาประชิดอังวะ  ทำให้พระเจ้ากรุงอังวะต้องส่งทหารเอกมาต่อสู้กับกามนี  ทหารเอกของพระเจ้ากรุงจีน  โดยตกลงว่า หากอังวะแพ้จะเอาเป็นเมืองขึ้น   ถ้าอังวะชนะจะยกทัพกลับไป  พระเจ้ากรุงอังวะจึงได้ออกประกาศหาตัวผู้สมัครออกไปต่อสู้กับกามนีทหารเอกเมืองกรุงจีน  ประกาศผ่านที่คุมขังของสมิงพระราม  สมิงพระรามจึงคิดรับอาสาเพื่อต้องการให้ตนเองพ้นจากการคุมขังและเป็นการป้องกันกรุงหงสาวดี  เพราะหงสาวดีอยู่ทางใต้ของกรุงอังวะ  หากพระเจ้ากรุงจีนตีอังวะก็จะต้องยกทัพเลยไปถึงกรุงหงสาวดี  ถึงอย่างไรอังวะก็เป็นเมืองมอญเหมือนกัน
            สมิงพระรามจึงออกต่อสู้กับกามนี  และได้ชัยชนะ  ฆ่ากามนีตาย  ตามสัญญาของพระเจ้ากรุงอังวะจะยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง  และยกพระราชธิดาให้เป็นมเหสี  สมิงพระรามขอสัญญาอีกข้อหนึ่งว่าห้ามไม่ให้เรียกตนว่าคนขี้คุกหรือเชลย  พระเจ้ากรุงอังวะตกลง   จึงจัดการอภิเษกขึ้น  งานนี้จึงมีการฟ้อนม่านมลคลเป็นการสมโภช
          เพลงฟ้อนม่านมงคลนี้  มีผู้นำทำนองเพลงฟ้อนม่านมงคลไปใส่เนื้อร้องเป็ฯแบบเพลงไทยสากล  ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก  จนครูมนตรี  ตราโมท   ได้รับรางวัลเสาอากาศทองคำในฐานะผู้แต่งทำนองเพลง
การแต่งกาย
           เป็นแบบพม่า  นุ่งผ้าซิ่นกรอมเท้า  ใส่เสื้อเอวสั้น  ริมเสื้อโครงในมีลวดอ่อนงอนขึ้นจากเอวเล็กน้อย  เสื้อแขนยาวถึงข้อมือ  มีแพรคล้องคอ  ทิ้งชายลงมาถึงเข่า  เกล้าผมทัดดอกไม้  มีอุบะห้อยมาทางด้านซ้าย
โอกาสที่แสดง

            ใช้แสดงในงานสมโภช  งานต้อนรับ  และโอกาสเบ็ดเตล็ดต่างๆ

(ที่มา: https://sites.google.com/site/ajanthus/fxn-man-mngkhl)