การแสดงนาฏศิลป์ไทยพื้นเมือง
การแสดงภาคเหนือ
เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่
วงกลองแอว เป็นต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณีหรือต้นรับแขกบ้านแขกเมือง
ได้แก่
- ฟ้อนเทียน - ฟ้อนกิงกะหร่า (กินนร)
- ฟ้อนเงี้ยว - ฟ้อนทีหรือระบำร่ม
- ฟ้อนเล็บ - ฟ้อนวี (พัด)
- กลองสะบัดชัย - ฟ้อนสาวไหม
- ตบมะผาบ - ฟ้อนชมเดือน
- ฟ้อนเจิงหรือมองเซิง - ฟ้อนผีมดผีเม็ง
- ฟ้อนดาบ - ฟ้อนผีฟ้า
- ฟ้อนมาลัย - ฟ้อนแพน
- ฟ้อนม่านมงคล - ระบำซอ
- ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา - ระบำเก็บใบชาหรือระบำชาวเขา
- ฟ้อนขันโตกหรือขันตอก
เป็นต้น
ฟ้อนเทียน
ฟ้อนเทียน เป็นการฟ้อนที่มีลักษณะศิลปะที่อ่อนช้อยงดงาม ลักษณะการแสดงไม่ต่างจากการแสดงฟ้อนเล็บ ถ้าเป็นการแสดงฟ้อนเทียน นิยมแสดงในเวลากลางคืนเพื่อเน้นความสวยงามของแสงเทียนระยิบระยับสว่างไสว จุดเด่นของการแสดงชนิดนี้ จึงอยู่ที่แสงเทียนที่ผู้แสดงถือในมือข้างละ ๑ เล่ม เข้าใจว่าการฟ้อนเทียนนี้แต่เดิมคงจะใช้เป็นการแสดงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการสักการะเทพเจ้าที่เคารพนับถือในงานพระราชพิธีหลวง ตามแบบฉบับล้านนาของทางภาคเหนือของไทย ผู้ฟ้อนมักใช้เจ้านายเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในทั้งสิ้น ในสมัยปัจจุบันการแสดงชุดนี้จึงไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจะสังเกตเห็นว่าความสวยงามของการฟ้อนอยู่ที่การบิดข้อมือที่ถือเทียนอยู่ แสงวับๆ แวมๆ จากแสงเทียนจึงเคลื่อนไหวไปกับความอ่อนช้อยลีลา และลักษณะของเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบนับเป็นศิลปะที่น่าดูอย่างยิ่งแบบหนึ่ง
การแต่งกาย ใช้ผู้แสดงเป็นผู้หญิงล้วน นิยมแสดงหมู่คราวละหลายคน โดยจำนวนคนเป็นเลขคู่ เช่น ๘ หรือ ๑๐ คน แล้วแต่ความยิ่งใหญ่ของงานนั้น และความจำกัดของสถานที่ โดยผู้แสดงแต่งกายแบบฟ้อนเล็บ คือ การสวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งซิ่นมีเชิงกรอมเท้า มุ่นผมมวย มีอุบะห้อยข้างศีรษะ ในมือเป็นสัญลักษณ์ คือ ถือเทียน ๑ เล่ม การแต่งกายของฟ้อนเทียนนี้ ปัจจุบันแต่งได้อีกหลายแบบ คืออาจสวมเสื้อในรัดอก ใส่เสื้อลูกไม้ทับแต่อย่างอื่นคงเดิม และอีกแบบคือสวมเสื้อรัดอก แต่มีผ้าสไบเป็นผ้าทอลายพาดไหล่อย่างสวยงาม แต่ยังคงนุ่งซิ่นกรอมเท้าและมุ่นผมมวย มีอุบะห้อยศีรษะ
โอกาสที่แสดง ในงานพระราชพิธี หรือวันสำคัญทางศาสนา ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองชาวต่างชาติ และในงานประเพณีสำคัญตามแบบฉบับของชาวล้านนา
(ที่มา : http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
ฟ้อนเงี้ยว
ฟ้อนเงี้ยว เป็นการฟ้อนที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟ้อนของเงี้ยวหรือไทยใหญ่ ประกอบด้วย ช่างฟ้อนหญิงชายหลายคู่ แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองไทยใหญ่ การฟ้อนเงี้ยวเหมาะสำหรับผู้ชาย แต่ต่อมาเพื่อให้เกิดความสวยงาม จึงมีการใช้ผู้หญิงล้วน หรือใช้ทั้งชายและหญิงแสดงเป็นคู่ๆ มีลีลาการฟ้อนที่แปลกแตกต่างไปจากฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน
การแต่งกาย จะเลียนแบบการแต่งกายของชาวไทยใหญ่ โดยมีการดัดแปลงเครื่องแต่งกายออกไปบ้าง โดยใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอก นุ่งโสร่งสั้นเพียงเข่า หรือกางเกงขากว้างๆ หรือบ้างก็นุ่งโสร่งเป็นแบบโจงกระเบนก็มี ใช้ผ้าโพกศีรษะ มีผ้าคาดเอว ใส่เครื่องประดับ เช่น กำไลมือ กำไลเท้า สร้อยคอ และใส่ตุ้มหู
โอกาสที่ใช้แสดง แสดงในงานรื่นเริงทั่วไป
(ที่มา : http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
ฟ้อนเล็บ
ฟ้อนเล็บ เป็นศิลปะการแสดงภาคเหนือที่มีความงดงาม อ่อนช้อยลีลาการฟ้อนเล็บ จะแสดงออกถึงความพร้อมเพรียงของผู้แสดง เพราะการฟ้อนเล็บจะแสดงเป็นหมู่ การฟ้อนเล็บมักแสดงในงานมงคลต่าง ๆ
การแต่งกายของผู้เล่นฟ้อนเล็บ ผู้ฟ้อนนุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนยาว ห่มสไบ ผมเกล้าแบบผมมวยสูง ติดดอกไม้ ห้อยอุบะ ปล่อยชายลงข้างแก้ม สวมเล็บยาวตรงนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ
(ที่มา : http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
กลองสะบัดชัย
กลองสะบัดชัย เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาอย่างหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมักจะพบเห็นในขบวนแห่ หรืองานแสดงศิลปะพื้นบ้านโดยทั่วไป ลีลาในการตีมีลักษณะโลดโผน เร้าใจ มีการใช้อวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ศอก เข่า ศีรษะ ประกอบในการตีด้วย ทาให้การแสดงการตีกลองสะบัดชัยเป็นที่ประทับใจของผู้คนที่ได้ชม จนเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
บทบาทของกลองสะบัดชัย
อาจกล่าวได้ว่า การตีกลองสะบัดชัย เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ได้นาชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรมพื้นบ้านสู่ล้านนา และบทบาทของกลองสะบัดชัยจึงอยู่ในฐานะการแสดงในงานวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น งานขันโตก งานพิธีต้อนรับแขกเมือง และขบวนแห่ ฯลฯ
แต่ในโอกาสในการใช้กลองสะบัดชัยแต่เดิมจนถึงปัจจุบันยังมีอีกหลายประการ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีต่าง ๆ มากมาย สรุปได้ดังนี้
1. ใช้ตีบอกสัญญาณ
2. เป็นมหรสพ
3.เป็นเครืองประโคมฉลองชัยชนะ
4. เป็นเครืองประโคมเพือความสนุกสนาน
ประเภทของกลองสะบัดชัย
กล่าวโดยสรุปกลองสะบัดชัยในปัจจุบันนี้มี 3 ประเภทคือ
1. กลองสองหน้าขนาดใหญ่ มีลูกตุบที่มักเรียกว่า “กลองปูชา” แขวนอยู่ในหอกลองของวัดต่าง ๆ ลักษณะการตีมีจังหวะหรือทานองที่เรียกว่า “ระบ่า” ทั้งช้าและเร็ว บางระบามีฉาบและฆ้อง บางระบามีคนตีไม้แสะประกอบอย่างเดียว
2. กลองสองหน้า มีลูกตุบและคานหามซึ่งเป็นกลองที่จาลองแบบมาจากประเภทแรก เวลาตีผู้ตีจะถือไม้แสะข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งถือไม้ตีกลอง การตีลักษณะนี้อาจมีฉาบและฆ้องประกอบหรือไม่มีก็ได้ ปัจจุบันกลองสะบัดชัยประเภทนี้เกือบสูญหายไปแล้ว ผู้ที่ตีได้และยังมีชีวิตอยู่ (2548) เท่าที่ทราบคือ ครูมานพ (พัน) ยารณะ ซึ่งเป็นศรัทธาวัดสันป่าข่อย อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
3. กลองสองหน้า มีคานหาม ไม่มีลูกตุบ มีฉาบ ฆ้อง ประกอบจังหวะ และมักมีนาคไม้แกะสลักประดับซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายปัจจุบัน
กลองสะบัดชัยทั้ง 3 ประเภท ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้มีการฟื้นฟูให้หวนกลับมาสู่ความนิยมอีก โดยประเภทแรกนอกจากจะมีการสอนให้ตีและมีบทบาทในวัด ก็ได้มีการนาเข้าสู่ขบวนซึ่งอาจมีการเคลื่อนย้ายโดยยกขึ้นค้างแล้วติดล้อเลื่อน ประเภทที่สองมีการเผยแพร่และกาลังเป็นที่นิยม สาหรับประเภทสุดท้ายก็ปรากฏแพร่หลายจนเกือบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของกลองล้านนา
(ที่มา : http://www.artsedcenter.com/index.phplay=show&ac=article&Id=539512309&Ntype=11)
ตบมะผาบ
กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการนำมิติทางวัฒนธรรมมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ๒ ยุทธศาสตร์ คือยุทธศาสตร์ที่ ๑ รักษาสืบทอดวัฒนธรรมและความหลากหลายของท้องถิ่น ยุทธศาสตร์ที่ ๓ นำทุนทางวัฒนธรรมของประเทศมาเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างคุณค่าทางสังคม ระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการภูมิบ้านภูมิเมือง ซึ่งประกอบด้วยภูมิหลัง ภูมิปัญญา คือการสืบค้น รวบรวม บันทึกและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตของชุมชน ภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม คือการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิทัศน์วัฒนธรรม คือ การนำเสนอผลงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม ผสมผสานกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาประเทศด้านวัฒนธรรมดังกล่าว สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปางร่วมกับสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง จึงเห็นสมควรให้ดำเนินงานบริหารจัดการข้อมูลวัฒนธรรมจังหวัดลำปางอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะมรดกทางวัฒนธรรมวิถีชีวิต (Intangible Cultural heritage ) โดยกำหนดการจัดเก็บข้อมูลด้านศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของจังหวัดลำปาง
เครื่องประกอบดนตรี
ศิลปะการแสดงตบมะผาบ มีเครื่องดนตรีและการประสมวงที่เป็นเอกลักษณ์คือใช้เครื่องดนตรีในการประสมวงจำนวน ๔ ชิ้นเป็นหลักได้แก่๑.กลอง ภาษาถิ่นเรียกว่า ก๋องซิ่งม่อง
๒.ฉิ่ง ภาษาถิ่นเรียกว่า ฉิ่ง
๓.ฉาบ ภาษาถิ่นเรียกว่า สว่า
๔.ฆ้อง ภาษาถิ่นเรียกว่า ก๊อง
การแต่งกายของนักแสดง
การแต่งกายในสมัยโบราณ นุ่งผ้าต้อยคล้ายโจงกระเบน แต่ในปัจจุบันได้ประยุกต์การแต่งกายเป็น
การแต่งกายพื้นเมืองโดยใช้ผู้แสดงจำนวน ๖ คน เป็นการแสดงกลางแจ้งประกอบเสียงจังหวะโดยจัดแสดงในโอกาสงานรื่นเริง
- เสื้อพื้นเมืองคอกลมแขนยาว
- ผ้าคาดเอว
- กางเกงขาก๊วย
- ลักษณะเครื่องแต่งกาย ของนักแสดง
- ลักษณะการแต่งกาย
- ภาพสาธิตการแต่งกาย
- การแสดงตบมะผาบ
การแต่งกายในสมัยโบราณ นุ่งผ้าต้อยคล้ายโจงกระเบน แต่ในปัจจุบันได้ประยุกต์การแต่งกายเป็น
การแต่งกายพื้นเมืองโดยใช้ผู้แสดงจำนวน ๖ คน เป็นการแสดงกลางแจ้งประกอบเสียงจังหวะโดยจัดแสดงในโอกาสงานรื่นเริง
- เสื้อพื้นเมืองคอกลมแขนยาว
- ผ้าคาดเอว
- กางเกงขาก๊วย
- ลักษณะเครื่องแต่งกาย ของนักแสดง
- ลักษณะการแต่งกาย
- ภาพสาธิตการแต่งกาย
- การแสดงตบมะผาบ
(ที่มา:http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/performing-arts/236-performance/306-----m-s)
ฟ้อนเจิงหรือมองเซิง
การฟ้อนเจิงเป็นศิลปะร่ายรำแบบไทยล้านนาโบราณ
คำว่าฟ้อนมีความหมายถึงการเต้น หรือร่ายรำ เจิงมีความหมายว่า การแสดงถึงทักษะ
ความรู้ภูมิปัญญาส่วนบุคคบ หรือ ชั้นเชิง
การออกกำลังกายแบบฉบับล้านนาเป็นกระบวนท่าจะไม่โลดโผน
แต่เน้นการออกกำลังกายครบทุกส่วนของร่างกาย การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพ แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพจังหวะช้า
การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพจังหวะเร็ว และ การฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพแบบภาวนา ซึ่งทั้ง 3
แบบนี้มีคุณประโยชน์เหมือนกันอยู่ที่ความถนัดและความชอบส่วนบุคคล
ล้านนาในอดีต เมื่อถึงคราจะเลือกแม่ทัพนายกองแม้แต่คนรับใช้ กระทั่งการเลือกคุ่ครองจะพิจารณาจาก การฟ้อนเจิง การฟ้อนเจิงเป็นการแสดงให้เห็นถึงไหวพริบ สติปัญญา ความละเอียดอ่อน นุ่มนวล แต่แข็งแกร่ง ทั้งยังแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริง
ฟ้อนเจิงเป็นการแสดงความเป็นตัวตนของผู้ฟ้อนอย่างแท้จริงด้วยกลิ่นไอแห่งวัฒนธรรมล้านนา วิถีที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบสานภูมิปัญญาจากอดีตสู้ปัจจุบัน จีรัง เฮลท์ วิลเลจ ขอสืบสานองค์ความรู้อันมีค่าจากอดีต สู่วิถีชีวิตปัจจุบัน เพื่อการบำบัดฟื้นฟูภาพแบบองค์รวมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศ วิถีแห่งล้านนา ด้วยการฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพลองสัมผัสด้วยตนเอง แล้วท่านจะทราบว่ามรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ลูกหลานนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง
ล้านนาในอดีต เมื่อถึงคราจะเลือกแม่ทัพนายกองแม้แต่คนรับใช้ กระทั่งการเลือกคุ่ครองจะพิจารณาจาก การฟ้อนเจิง การฟ้อนเจิงเป็นการแสดงให้เห็นถึงไหวพริบ สติปัญญา ความละเอียดอ่อน นุ่มนวล แต่แข็งแกร่ง ทั้งยังแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริง
ฟ้อนเจิงเป็นการแสดงความเป็นตัวตนของผู้ฟ้อนอย่างแท้จริงด้วยกลิ่นไอแห่งวัฒนธรรมล้านนา วิถีที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบสานภูมิปัญญาจากอดีตสู้ปัจจุบัน จีรัง เฮลท์ วิลเลจ ขอสืบสานองค์ความรู้อันมีค่าจากอดีต สู่วิถีชีวิตปัจจุบัน เพื่อการบำบัดฟื้นฟูภาพแบบองค์รวมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศ วิถีแห่งล้านนา ด้วยการฟ้อนเจิงเพื่อสุขภาพลองสัมผัสด้วยตนเอง แล้วท่านจะทราบว่ามรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ลูกหลานนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง
(ที่มา:http://www.jirungresort.com/th/health_spa_resort/retreat/forn_joeng.html)
ฟ้อนดาบ
อุปกรณ์และวิธีเล่น
๑. ดาบ ๒ เล่ม ต่อคน
๒. เครื่องดนตรี ได้แก่ ฆ้องโหม่ง ฉาบกลาง
กลองปู่เจ่ (กลองยาวของชาวไตใหญ่)
๓. ชุดเครื่องแต่งกายในการฟ้อนดาบ ได้แก่
เตี่ยวสะดอ (กางเกงขาก๊วยขาสั้น) เสื้อหม้อห้อม ผ้าคาด เอว ผ้าโพกศรีษะ
๔. ผู้ฟ้อน ๑ - ๒ คน และนักดนตรีอีก ๔ - ๕ คน
วิธีฟ้อน
การฟ้อนดาบ จะเริ่มต้นด้วยการตีฆ้องนำ
แล้วต่อจากนั้นจะตีฉาบและกลองให้เข้าจังหวะเร้าใจเป็นทำนองเพลงปู่เจ่
ผู้แสดงเริ่มฟ้อนดาบตามหลักเกณฑ์และท่าที่ครูประสิทธิ์ประสาทให้มา ซึ่งมี ๒
ช่วงคือ
ช่วงที่ ๑ ไหว้ครู
โดยผู้ฟ้อนจะวางดาบลงไว้ด้านหน้าให้ไขว้กัน แล้วจึงไหว้ครู
ช่วงที่ ๒ หลังจากไหว้ครูแล้ว
ก็เริ่มฟ้อนท่าต่าง ๆ ซึ่งครูคำ กาไวย์ รวบรวมมี ๓๒ ท่า เช่น ท่าบิดบัวบาน
เกี้ยวเกล้า ฯลฯ โดยใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายรับดาบไว้ เช่น ปากคาบ
หนีบรักแร้ ขาพับเข่า ฯลฯ
การฟ้อนจะฟ้อนไปจนจบกระบวนท่า ทั้ง ๓๒ ท่า
หรือจะน้อยกว่านั้นก็ได้ ถ้าฟ้อนคู่ก็จะรำไปพร้อมกัน อาจมีหลอกล่อกันบ้าง
แต่ไม่มีการฟันดาบ
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
ใช้แสดงเมื่อถึงคราวมีงานนักขัตฤกษ์ เช่น
งานประเพณีขึ้นปีใหม่ งานสงกรานต์ งานปอย พิธีรดน้ำดำหัว ปัจจุบันมีการพัฒนาให้เป็นการออกกำลังกายสำหรับนักเรียนในการเรียน
จึงมีการแสดงในตอนเช้าสำหรับบาง โรงเรียน
คุณค่าหรือเวลาที่เล่น
การใช้ดาบเป็นอาวุธเป็นวิชาต่อสู้ป้องกันตัวของชายชาวล้านนา
ซึ่งจะได้รับการฝึกฝนเพื่อใช้ต่อสู้ศัตรูยามสงครามและเมื่อมีความชำนาญ
ก็อาจใช้แสดงเพื่อความรื่นเริง เมื่อมีการแสดงมากขึ้น
ก็มีการประยุกต์ดัดแปลงลีลาท่าทาง และการเคลื่อนไหว ประกอบเพลงและอาวุธมากขึ้น
ปัจจุบันจะเน้นเรื่องการแสดงเพื่อความบันเทิง
โดยเฉพาะในงานแสดงต้อนรับนักท่องเที่ยว และพัฒนาเป็นการออกกำลังกายประกอบดาบ
(ดาบไม้) ของนักเรียน ซึ่งนอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว
ยังเป็นการอนุกรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่นด้วย
(ที่มา:http://www.prapayneethai.com/ฟ้อนดาบ)
ฟ้อนมาลัย
ประวัติฟ้อนมาลัย
ฟ้อนมาลัย หรือ ลาวดวงดอกไม้ เพลงฟ้อนดวงดอกไม้
เป็นเพลงเก่าของเชียงใหม่ เจ้าดารารัศมี พระชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงนำมาใช้ในละครเรื่อง น้อยใจยา
ซึ่งกรมศิลปากรปรับปรุงขึ้นเมื่อแสดงละครพันทางเรื่อง
พระยาผานอง แสดง ณ โรงละครแห่งชาติ
เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ โดย อาจารย์มนตรี ตราโมท
เป็นผู้แต่งทำนองเพลงและบทร้อง โดยนำทำนอง
เพลงฟ้อนดวงดอกไม้ของนางข้าหลวงของแม่ท้าวคำปิน
มาใช้เป็นเพลงฟ้อน
ท่านผู้หญิงหม่อม แผ้ว สนิทวงศ์เสนีย์
ประดิษฐ์ท่ารำ
ฟ้อนมาลัย
เป็นการแสดงที่ใช้สำหรับโอกาสที่มีแขกสำคัญมาเยือน โดยใช้การแสดงชุดนี้
เป็นการต้อนรับ ปัจจุบันใช้แสดงในโอกาสงานมงคล หรืองานเบ็ดเตล็ดทั่วไป
วิธีแสดง
ผู้แสดงเป็นชุดเป็นหมู่ ร่ายรำท่าเหมือนกัน
แต่งกายเหมือนกัน มีการแปรแถวแปรขบวนต่าง ๆ
ผู้แสดง
ผู้แสดงหญิงไม่ระบุจำนวนแน่นอน
เพลงดนตรี
ฟ้อนชุดนี้ออกเป็นเพลงซุ้ม
ซึ่งเป็นเพลงลาวชั้นเดียว
เครื่องแต่งกาย
ชุดที่ใช้เป็นลักษณะของผ้าถุงยาวกรอมเท้า
ซึ่งบ่งบอกถึงความสำคัญและความเป็นทางการของงาน
(ที่มา: https://sites.google.com/site/naiyarinnoey/fxn-malay)
ฟ้อนม่านมงคล
พ.ศ. 2495 กรมศิลปากรได้ปรับปรุงละครพันทางเรื่องราชาธิราช
ตอนสมิงพระรามอาสา นำออกแสดงให้ประชาชนชม ตอนหนึ่งของเนื้อเรื่องกล่าวถึงพิธีอภิเษกสมิงพระรามกับพระราชธิดาพระเจ้าอังวะ
จึงพิจารณาแทรกระบำขึ้นโดยมอบให้นายมนตรี ตราโมท
เป็นผู้แต่งบทร้องและทำนองเพลงขึ้น และตั้งชื่อว่า
“ม่านมงคล”
ฟ้อนม่านมงคล เป็นการฟ้อนที่มีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม ซึ่งสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา
บางคนสงสัยว่าเป็นของพม่า เพราะเรียกว่า ฟ้อนม่าน แต่ฟ้อนม่านมงคลนี้น่าจะเป็นของไทย
สังเกตได้จากท่ารำที่อ่อนช้อยงดงาม มีเพียงท่ารำในตอนต้นเท่านั้นที่ดัดแปลงมาจากของพม่า
หากเป็นการฟ้อนรำของพม่า จะมีลีลาและจังหวะในการฟ้อนรำที่รวดเร็วและเร่งเร้ากว่าของไทย
น่าจะเป็นไปได้ที่ไทยประดิษฐ์ท่ารำขึ้น โดยอาศัยท่ารำของภาคเหนือ
และมีท่ารำของภาคกลางปนด้วย โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องราชาธิราช
ซึ่งเป็นตำนานพงศาวดารที่มีมาดังนี้
เนื้อเรื่องกล่าวถึงพวกมอญ (พม่า)
แบ่งเป็น 2 พวก คือ
กรุงหงสาวดี กับกรุงรัตนบุระอังวะ ซึ่งทั้งสองเมืองจะรบกันอยู่เสมอ
กรุงหงสาวดีมีทหารเอก คือ สมิงพระราม ซึ่งเก่งในทางรบ
คราวหนึ่งทางฝ่ายกรุงหงสาวดีแพ้ สมิงพระรามถูกจับเป็นเชลยขังไว้
ณ กรุงอังวะ เมื่อพระเจ้ากรุงจีนยกทัพมาประชิดอังวะ
ทำให้พระเจ้ากรุงอังวะต้องส่งทหารเอกมาต่อสู้กับกามนี ทหารเอกของพระเจ้ากรุงจีน
โดยตกลงว่า หากอังวะแพ้จะเอาเป็นเมืองขึ้น ถ้าอังวะชนะจะยกทัพกลับไป
พระเจ้ากรุงอังวะจึงได้ออกประกาศหาตัวผู้สมัครออกไปต่อสู้กับกามนีทหารเอกเมืองกรุงจีน
ประกาศผ่านที่คุมขังของสมิงพระราม สมิงพระรามจึงคิดรับอาสาเพื่อต้องการให้ตนเองพ้นจากการคุมขังและเป็นการป้องกันกรุงหงสาวดี
เพราะหงสาวดีอยู่ทางใต้ของกรุงอังวะ หากพระเจ้ากรุงจีนตีอังวะก็จะต้องยกทัพเลยไปถึงกรุงหงสาวดี
ถึงอย่างไรอังวะก็เป็นเมืองมอญเหมือนกัน
สมิงพระรามจึงออกต่อสู้กับกามนี และได้ชัยชนะ
ฆ่ากามนีตาย ตามสัญญาของพระเจ้ากรุงอังวะจะยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง
และยกพระราชธิดาให้เป็นมเหสี สมิงพระรามขอสัญญาอีกข้อหนึ่งว่าห้ามไม่ให้เรียกตนว่าคนขี้คุกหรือเชลย
พระเจ้ากรุงอังวะตกลง จึงจัดการอภิเษกขึ้น
งานนี้จึงมีการฟ้อนม่านมลคลเป็นการสมโภช
เพลงฟ้อนม่านมงคลนี้
มีผู้นำทำนองเพลงฟ้อนม่านมงคลไปใส่เนื้อร้องเป็ฯแบบเพลงไทยสากล
ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก จนครูมนตรี
ตราโมท ได้รับรางวัลเสาอากาศทองคำในฐานะผู้แต่งทำนองเพลง
การแต่งกาย
เป็นแบบพม่า
นุ่งผ้าซิ่นกรอมเท้า ใส่เสื้อเอวสั้น ริมเสื้อโครงในมีลวดอ่อนงอนขึ้นจากเอวเล็กน้อย
เสื้อแขนยาวถึงข้อมือ มีแพรคล้องคอ ทิ้งชายลงมาถึงเข่า
เกล้าผมทัดดอกไม้ มีอุบะห้อยมาทางด้านซ้าย
โอกาสที่แสดง
ใช้แสดงในงานสมโภช
งานต้อนรับ และโอกาสเบ็ดเตล็ดต่างๆ
(ที่มา: https://sites.google.com/site/ajanthus/fxn-man-mngkhl)